ค่าใช้จ่าย

6 ค่าใช้จ่าย บริษัทมีกี่ประเภทอะไรบ้างลงบัญชีได้เต็ม?

Click to rate this post!
[Total: 220 Average: 5]

ค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่าย หมายถึง

ค่าใช้จ่าย คือ มูลค่าเงินที่ใช้เป็นค่าบริการหรือสินค้าต้องจ่ายเมื่อทำกิจกรรมใดๆ โดยอาจจ่ายในรูปแบบเงินสดหรือเครดิตก็ได้ ค่าใช้จ่ายถือเป็นต้นทุนของทุกสิ่งที่มีการทำไร หากมีคำว่ากำไร ก็ต้องมีคำว่า ค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจ หรือ ทำอะไรที่ต้องมีการลงทุน ลงแรง ล้วนแล้ว มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น  หากจะเจาะลึก คำว่า ค่าใช้จ่ายสามารถพูดถึงได้หลายประเด็น เช่น ค่าใช้จ่ายทางบัญชี ค่าใช้จ่ายทางภาษี ค่าใช้จ่ายตั้งแต่เปิดบริษัท ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เป็นต้น

ค่าใช้จ่าย คือ
ค่าใช้จ่าย คือ

บัญชีค่าใช้จ่าย

หากคุณกำลังสนใจเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีค่าใช้จ่าย เราสามารถให้คำแนะนำได้ดังนี้

  1. รวบรวมข้อมูล สำรวจและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่คุณต้องการรวมลงในบัญชี รวมถึงใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ หรือข้อมูลการเงินอื่น ๆ ที่สำคัญ

  2. กำหนดหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย กำหนดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสม เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าสาธารณูปโภค ค่าบริการ ค่าพันธบัตร เป็นต้น

  3. สร้างรายการค่าใช้จ่าย สร้างรายการค่าใช้จ่ายโดยแบ่งตามหมวดหมู่ที่กำหนดไว้ และบันทึกข้อมูลสำคัญ เช่น วันที่ รายละเอียด จำนวนเงิน เป็นต้น

  4. ตรวจสอบความถูกต้อง ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ระบุในบัญชี โดยเช็คว่ามีข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่ขาดหายไปหรือไม่

  5. สรุปผล สรุปผลการใช้จ่ายตามหมวดหมู่ที่กำหนดไว้ เช่น รวมยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละหมวดหมู่ หรือรวมยอดทั้งหมดของค่าใช้จ่ายในระยะเวลาที่กำหนด

  6. บันทึกไว้ นำข้อมูลที่รวบรวมและบันทึกไว้ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น สร้างเอกสาร Excel หรือใช้ซอฟต์แวร์บัญชีเพื่อจัดเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้องและเป็นระเบียบ

การจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายช่วยให้คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์รูปแบบการใช้จ่ายของคุณได้ และช่วยในการบริหารจัดการการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

รายการค่าใช้จ่าย

เพื่อให้คำแนะนำที่แม่นยำขึ้นเกี่ยวกับรายการค่าใช้จ่าย จำเป็นต้องระบุชนิดของค่าใช้จ่ายที่คุณสนใจ เนื่องจากมีหลายประเภทของค่าใช้จ่ายที่สามารถแสดงตัวอย่างได้ เช่น

  1. ค่าเช่าที่อยู่อาศัย เช่น เงินเช่าบ้านหรืออพาร์ทเมนท์ เงินเช่าสำหรับที่จอดรถ เงินค่าส่วนกลางในคอนโดมิเนียม

  2. ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าสมาชิกทีวี

  3. ค่าบริการ เช่น ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าส่วนกลางในอาคารหรือหมู่บ้าน ค่าบริการเกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาทรัพย์สิน

  4. ค่าพันธบัตร เช่น ค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าประกันชีวิต ค่าประกันสุขภาพ

  5. ค่าการเดินทาง เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ค่าบัตรรถไฟ ค่าโดยสารแท็กซี่

  6. ค่าการศึกษา เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาเสริม ค่าหนังสือเรียนหรือวัสดุการสอน

  7. ค่าอาหาร เช่น ค่าอาหารที่บ้านหรือร้านอาหาร ค่าเครื่องดื่ม

  8. ค่าบันเทิงและสันทนาการ เช่น ค่าบัตรเข้าชมภาพยนตร์ ค่าบัตรเข้าชมคอนเสิร์ต ค่าสมาชิกสนามกีฬา

  9. ค่าดูแลสุขภาพ เช่น ค่าการตรวจสุขภาพประจำปี ค่าคลินิกหรือโรงพยาบาล ค่ายาหรืออุปกรณ์การแพทย์

  10. ค่าการเดินทาง เช่น ค่าโดยสารเครื่องบิน ค่าที่พักที่โรงแรม ค่าบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว

โดยทั่วไปแล้ว ค่าใช้จ่ายจะแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย และค่าใช้จ่ายไม่ประจำ เช่น ค่าซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า

ค่าใช้จ่ายบริษัท มีอะไรบ้าง

ค่าใช้จ่ายของบริษัทสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้

  1. ค่าจ้างแรงงาน เป็นค่าจ้างที่บริษัทต้องจ่ายให้กับพนักงาน ซึ่งรวมถึงเงินเดือนพนักงานและค่าตอบแทนอื่น ๆ เช่น เบี้ยเลี้ยง โบนัส ค่าล่วงเวลา เป็นต้น

  2. ค่าสินค้าหรือวัตถุดิบ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิตหรือบริการของบริษัท

  3. ค่าเช่าหรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพื้นที่ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าเช่าโรงงาน ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า

  4. ค่าโฆษณาและการตลาด เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการโฆษณาและการตลาดสินค้าหรือบริการของบริษัท เช่น ค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ ค่าโฆษณาออนไลน์ ค่าจ้างนักการตลาด

  5. ค่าบริหารจัดการ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการภายในบริษัท เช่น ค่าเช่าอาคารสำนักงาน ค่าเทคโนโลยีสารสนเทศ ค่าการฝึกอบรมพนักงาน

  6. ค่าบริการธุรกิจ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการให้บริการธุรกิจเชิงบริการ เช่น ค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี ค่าบริการทางกฎหมาย ค่าบริการทางการเงิน

  7. ค่าสนับสนุนธุรกิจ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการตลาดและขายสินค้า

  8. ค่าบริหารความเสี่ยงและประกันภัย เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและการซื้อประกันภัย เช่น ค่าประกันภัยทรัพย์สิน ค่าประกันภัยความเสี่ยงทางธุรกิจ

  9. ค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงิน เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ยสินเชื่อ ค่าบริการทางการเงิน ค่าบริการที่เกี่ยวกับการจัดหาเงินทุน

  10. ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาทรัพย์สินที่บริษัทครอบครอง เช่น ค่าซ่อมคอมพิวเตอร์ ค่าซ่อมเครื่องจักรกล

อย่างไรก็ตาม รายการค่าใช้จ่ายของบริษัทสามารถแตกต่างกันไปตามลักษณะธุรกิจและขนาดของบริษัท ควรปรับแต่งรายการค่าใช้จ่ายเพื่อสอดคล้องกับความเป็นเอกลักษณ์ของบริษัทของคุณ

ค่าใช้จ่าย ภาษี

ค่าใช้จ่ายภาษีของบริษัทสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท อาทิเช่น

  1. ภาษีเงินได้บริษัท ภาษีเงินได้เป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่บริษัทได้รับ ภาษีเงินได้บริษัทจะคำนวณจากกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายต่างๆ และมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามกฎหมายท้องถิ่นและประเทศที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่

  2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากบริษัทขายสินค้าหรือบริการที่มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามอัตราที่กำหนดโดยกฎหมาย บริษัทสามารถถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในท้องถิ่นที่กำหนดได้

  3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ บางประเทศหรือพื้นที่อาจเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะหรือภาษีการเปลี่ยนเจ้าของกิจการ เป็นต้น เงื่อนไขและอัตราภาษีเฉพาะเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามกฎหมายท้องถิ่นและประเทศ

  4. อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เกี่ยวกับภาษีเช่น ภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้าง หรือภาษีอื่นๆ ที่อาจมีการเสียในกรณีที่บริษัทมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง

สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับอัตราภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของคุณ คุณควรปรึกษากับที่ปรึกษาภาษีหรือผู้เชี่ยวชาญทางภาษีในประเทศหรือพื้นที่ที่บริษัทของคุณดำเนินกิจการอยู่

ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ลงบัญชี

ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถจัดประเภทเป็นหมวดหมู่หลักในการลงบัญชี โดยทั่วไปแล้ว เบ็ดเตล็ดเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมหลักของธุรกิจ และมักเป็นค่าใช้จ่ายที่มีจำนวนเล็ก ๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการให้บริการหลักของบริษัท

ตัวอย่างของค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่อาจประกอบด้วยได้แก่

  • ค่าสมนาคุณสมบัติ
  • ค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต
  • ค่าเช่าที่สั้นๆ หรือสถานที่จัดกิจกรรมชั่วคราว
  • ค่าบริการเอกสารหรือการพิมพ์
  • ค่าตอบแทนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานหลัก เช่น ค่านายหน้า

การลงบัญชีค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดนั้น อาจจะใช้หมวดบัญชีที่ชื่อว่า “ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด” หรือ “ค่าใช้จ่ายอื่นๆ” และระบุรายละเอียดของค่าใช้จ่ายในส่วนหมายเหตุ ทั้งนี้ควรปฏิบัติตามนโยบายการลงบัญชีที่กำหนดโดยกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการบัญชีหรือผู้ควบคุมงานการเงินภายในของบริษัทของคุณเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เพิ่มเติม

ค่าใช้จ่ายข้ามปี สรรพากร

ค่าใช้จ่ายข้ามปีที่เกี่ยวข้องกับสรรพากรเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระยะเวลาย้อนหลังและมีผลกระทบต่อภาษีในปีปัจจุบันหรืออนาคต ตัวอย่างของค่าใช้จ่ายข้ามปีที่เกี่ยวข้องกับสรรพากรอาจประกอบด้วย

  1. ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) การคำนวณค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ทางธุรกิจในระยะเวลาย้อนหลัง และนำมาหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ของปีปัจจุบัน

  2. ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการตัดจำหน่ายสิทธิบัตร สิทธิบัตรการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ และมีผลกระทบต่อภาษีเงินได้

  3. ค่าดอกเบี้ย (Interest Expenses) ค่าใช้จ่ายในการจ่ายดอกเบี้ยต่อเงินกู้หรือหนี้สินอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อการลดหย่อนภาษีเงินได้ของปีปัจจุบัน

  4. ค่าซื้อสิทธิการเปลี่ยนแปลงหนี้สิน (Debt Restructuring Costs) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเรียกเก็บหนี้สินหรือการจัดการใหม่เกี่ยวกับหนี้สิน และมีผลกระทบต่อการลดหย่อนภาษีเงินได้ของปีปัจจุบัน

  5. ค่าใช้จ่ายเฉพาะเจาะจงอื่นๆ อื่นๆ ที่ไม่สามารถจัดประเภทในรายการข้างต้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการรับซื้อหุ้นคืน ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงทรัพย์สิน หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ และมีผลกระทบต่อภาษีเงินได้

การรายงานค่าใช้จ่ายข้ามปีที่เกี่ยวข้องกับสรรพากรต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของแต่ละประเทศ คุณควรปรึกษากับที่ปรึกษาภาษีหรือผู้เชี่ยวชาญทางภาษีในประเทศที่บริษัทของคุณดำเนินกิจการอยู่เพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เพิ่มเติม

ตัวอย่างค่าใช้จ่าย

นี่คือตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในบริษัท

  1. ค่าเช่าสำนักงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเช่าสำนักงานหรือพื้นที่ทำงานสำหรับบริษัทของคุณ.

  2. ค่าตอบแทนพนักงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจ่ายค่าตอบแทนแก่พนักงานที่ทำงานในบริษัท ซึ่งรวมถึงเงินเดือนพนักงาน, เบี้ยเลี้ยง, ค่าจ้างชั่วคราว, และสวัสดิการอื่น ๆ.

  3. ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงาน เช่น วัสดุประกอบการผลิต, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, หรือเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับกิจกรรมธุรกิจ.

  4. ค่าใช้จ่ายในการตลาดและโฆษณา เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการโฆษณาและการตลาดสินค้าหรือบริการของบริษัท เช่น การลงโฆษณาทางโทรทัศน์, การออกแบบและพิมพ์โบรชัวร์, การส่งเสริมการขาย.

  5. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนเงิน, ค่าบริการการเงิน, หรือดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ.

  6. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สิน เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการบำรุงรักษาทรัพย์สินของบริษัท เช่น ค่าซ่อมบำรุงอาคารหรือเครื่องจักร.

  7. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั่วไป เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานประจำวันของบริษัท เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำ, ค่าโทรศัพท์.

  8. ค่าใช้จ่ายเฉพาะเจาะจง อื่นๆ ที่ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ได้ อาจ包括ค่าสมนาคุณสมบัติ ค่าประกันภัย หรือค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมเฉพาะ เช่น งานเลี้ยง, การจัดอบรม, หรือการประชุม.

ค่าใช้จ่ายของบริษัทจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและสภาพการดำเนินงานของแต่ละบริษัท

 
 

ลักษณะของค่าใช้จ่าย

กิจการอาจมีบัญชีค่าใช้จ่ายมากน้อยตามลักษณะของะธุรกิจขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของกิจการ

ลักษณะของค่าใช้จ่าย แบ่งออกได้ ตามนี้

  1. ต้นทุนขาย ( Cost of Goods Sold ) เช่น ค่าซื้อ ค่าภาษีศุลกากร ค่าธรรมเนียม และค่าขนส่งเมื่อซื้อ เป็นต้น
  2. ค่าใช้จ่ายในการขาย ( Selling Expenses ) เช่น เงินเดือนพนักงานขาย ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายในสำนักงานขาย ค่านายหน้า เป็นต้น
  3. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ( Administratiom Expenses ) เช่น เงินเดือนผู้บริหาร เงินเดือนพนักงานบัญชีและการเงิน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าใช้จ่ายภายในสำนักงาน เป็นต้น
  4. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ( Qther Expenses or Non-Operating Expenses ) เช่นขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ ขาดทุนจากราคาในตลาดหลักทรัพย์ลดลง ขาดทุนจากทรัพย์สินเสียหาย ขาดทุนจากการเกิดภัยธรรมชาติ เป็นต้น
  5. ต้นทุนทางการเงินและภาษี ( Interset Expenses ) เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการ เช่น ค่าภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจฯ เป็นต้น
ลักษณะค่าใช้จ่าย
ลักษณะค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายในทางธุรกิจ 

ค่าใช้จ่ายในทางธุรกิจ เป็นค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจากการจากดำเนินงาน โดยพนักงาน หรือ อื่นๆ  เช่น ค่าขนส่ง, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร, ค่าใช้จ่ายสำหรับความบันเทิงของลูกค้า ค่าที่พัก, ค่าอาหาร, ค่ายารักษาโรค หรือ ค่าใช้จ่ายสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เป็นต้น การรับรู้ค่าใช้จ่าย รู้ต้นทุน สามารถนำมาวิเคาะได้ หากค่าใช้จ่ายส่วนที่ไม่จำเป็น ก็ควรปรับลด หรือ ค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่จำเป็นต้องเพิ่ม เพื่อให้ไดผลกำไร ก็ควรเพิ่ม

ค่าใช้จ่ายในทางภาษี

ค่าใช้จ่ายค่าภาษี เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการคำนวณภาษี ถือเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับหักเป็นต้นทุนในการทำงาน เพื่อให้ได้เงินได้หรือรายได้สุทธินั้นมาคิดภาษีตามบัญชีอัตราภาษี โดยมีอัตราการหักค่าใช้จ่ายมากหรือน้อยตามแต่ละประเภทของเงินได้ 

**หมายเหตุ** เอกสารที่ถูกต้องสามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้นั้น ถือเป็นรายจ่ายตามเงื่อนไขใน ม.65 ทวิ และ ม.65 ตรี

  • การรับรู้ค่าใช้จ่ายในทางบัญชี จำเป็นต้องยึดตามาตรฐานการบัญชี และค่าใช้จ่ายบางอย่างไม่สามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ หากกิจการอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (จดvat) ทำให้มีการ บวกกลับ หักออก ค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถนำมาเป็น ค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ เรียกว่า รายจ่ายต้องห้าม  !!
  • รายจ่ายตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ถือเป็น รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี ในทางบัญชีรายจ่ายบางรายการถือเป็นรายจ่ายได้ แต่ในทางภาษีรายจ่ายดังกล่าว ต้องนำมาบวกกลับ เพื่อคำนวณกำไรสุทธิ
ประเภทค่าใช้จ่าย
ประเภทค่าใช้จ่าย

** หลักการบันทึกค่าใช้จ่ายพร้อมหลักฐานประกอบที่ถูกต้องนี้ ตามกรมสรรพากร**   คู่มือการจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชีเพื่อเสียภาษี

รายจ่ายต้องห้าม

รายจ่ายต้องห้าม ถือเป็น รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการของนิติบุคคลและได้มีการบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เกิดรายการ แต่ในทางภาษีไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ขอบเขตรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กำหนดไว้ตามประมวลรัษฎากร ดังนี้

รายจ่ายต้องห้าม
รายจ่ายต้องห้าม

รายจ่ายต้องห้ามมีอะไรบ้าง

  1. เงินสำรองต่าง ๆ เป็นรายจ่ายต้องห้าม
    • เงินสำรองจากเบี้ยประกันภัย เพื่อสมทบทุนประกันชีวิตได้ไม่เกินร้อยละ 65 ของจำนวนเบี้ยประกันชีวิตที่ได้รับ ในรอบระยะเวลาบัญชีหลังจากหักเบี้ยประกันภัยซึ่งเอาประกันภัยต่อออกแล้ว ถือเป็นรายจ่ายได้
    •  เงินสำรองจากเบี้ยประกันภัยเพื่อสมทบทุนประกันภัยอื่น ที่กันไว้ก่อนคำนวณกำไรเฉพาะส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 40 ของจำนวนเบี้ยประกันภัยที่ได้รับ ในรอบระยะเวลาบัญชีหลังจากหักเบี้ยประกันภัย ซึ่งเอาประกันต่อออกแล้ว ถือเป็นรายจ่ายได้
    •  เงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ สำหรับหนี้ที่เกิดจากการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ให้กันไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ แต่กรณีเฉพาะส่วนที่ตั้งเพิ่มขึ้นจากเงินสำรองประเภทดังกล่าวที่ปรากฎในงบดุลของรอบระยะเวลาบัญชีก่อน
  2. เงินที่จ่ายเข้ากองทุนใด ๆ เป็นรายจ่ายต้องห้าม เว้นแต่ เงินที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้ถือเป็นรายจ่ายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่จ่ายเท่ากับจำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 183 (พ.ศ. 2533)
  3. รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว การให้โดยเสน่หา หรือการกุศล เป็นรายจ่าย
    • รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว  รายจ่ายที่แต่ละคนควรจะรับภาระในส่วนของตนเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยผู้รับไม่มีความผูกพันในทางธุรกิจการงานกับผู้ให้
    • รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการให้โดยเสน่หา รายจ่ายที่จ่ายไปโดยความรักใคร่ชอบพอกันเป็นการส่วนตัว ซึ่งผู้รับไม่มีความผูกพันว่าจะต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตอบแทน หรือเรียกว่า การให้เปล่า
    • รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการกุศล รายจ่ายที่จ่ายไปในการทำบุญทำทาน บริจาคทรัพย์สินช่วยการศึกษา การศาสนา การสังคมสงเคราะห์หรือการอื่น ๆ แต่กรณีนี้กฎหมายยังยอมให้หักได้ในกรณีเป็นการจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อประโยชน์ของสาธารณะชนทั่ว ๆ ไป ไม่จำกัดว่าเป็นใคร
  4. ค่ารับรองหรือค่าบริการ ส่วนที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเป็นรายจ่ายต้องห้าม ค่ารับรองบวกกลับ เว้นแต่ ค่ารับรองดังต่อไปนี้สามารถนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้  ค่ารับรองหรือค่าบริการนั้นต้องเป็นค่ารับรองหรือค่าบริการอันจำเป็นตามธรรมเนียมประเพณีทางธุรกิจทั่วไป
    • เป็นค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการรับรองหรือการบริการที่จะอำนวยประโยชน์แก่กิจการ เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าดูมหรสพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการกีฬา
    • เป็นค่าสิ่งของที่ให้แก่บุคคลซึ่งได้รับการรับรองหรือรับบริการ ไม่เกินคนละ 2,000 บาท ในแต่ละคราวที่มีการรับรองหรือการบริการ
    • จำนวนเงินค่ารับรองและค่าบริการให้นำมาหักเป็นรายจ่ายได้เท่ากับจำนวนเท่าที่ต้องจ่าย แต่รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 0.3 ของจำนวนเงินยอดรายได้หรือยอดขายที่ต้องนำมารวมหรือคำนวณกำไรสุทธิ ก่อนหักรายจ่ายใดในรอบระยะเวลาบัญชี
    • ค่ารับรองหรือค่าบริการนั้นต้องมีกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้จัดการ หรือผู้ได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวเป็นผู้อนุมัติหรือคำสั่งจ่ายค่ารับรองหรือค่าบริการนั้น
  5. รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน หรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินเป็นรายจ่ายต้องห้าม แต่หากเป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
    • รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน หมายถึง รายจ่ายที่กิจการจ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ต่อกิจการเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 1 รอบระยะเวลาบัญชี
    • รายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ทรัพย์สินดีขึ้น หมายถึง รายจ่ายเพื่อให้อายุการใช้งานของทรัพย์สินเดิมยาวนานขึ้น หรือมีสภาพดีขึ้น
  6. เบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มภาษีอากรค่าปรับทางอาญา ภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นรายจ่ายต้องห้าม
              คำว่า “เบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญา” หมายถึง เบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่ม และค่าปรับอาญา ตามกฎหมายภาษีอากรทุกประเภท รวมถึงค่าปรับที่เป็นโทษทางอาญา และเงินเพิ่มภาษีอากรตามกฎหมายอื่นด้วย ( ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 40/2560 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2560 ที่อ้างอิงคำพิพากษาฎีกา ที่ 1109/2559)
  7. (6ทวิ)   ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระหรือพึงชำระ
  8. การถอนเงินโดยปราศจากค่าตอบแทนของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เป็นรายจ่ายต้องห้าม หากมองตามหลักการบัญชีแล้ว การถอนเงินของผู้เป็นหุ้นส่วนไม่ถือเป็นรายจ่ายอยู่แล้ว เป็นการถอนเงินลงทุนหรือเป็นการแบ่งกำไรกัน ไม่เกี่ยวข้องกับการบันทึกรายจ่ายของกิจการแต่อย่างใด
  9. เงินเดือนของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนเฉพาะส่วนที่จ่ายเกินสมควรเป็นรายจ่ายต้องห้าม
             เจ้าพนักงานมีอำนาจพิจารณารายจ่ายประเภทเงินเดือนของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน เปรียบเทียบกับรายอื่นซึ่งอยู่ในฐานะหรือลักษณะเดียวกัน อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หรือทำเลเดียวกัน ประกอบกิจการค้าอย่างเดียวกันหรือลักษณะเดียวกัน
  10. รายจ่ายซึ่งกำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง หรือรายจ่ายซึ่งควรจะได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีอื่นเป็นรายจ่ายต้องห้าม   เว้นแต่ ในกรณีที่ไม่สามารถจะลงจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีใดก็อาจลงจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่ถัดไปได้
  11. ค่าตอบแทนแก่ทรัพย์สินซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นเจ้าของเองและใช้เองเป็นรายจ่ายต้องห้าม
  12. ดอกเบี้ยที่คิดให้สำหรับเงินทุน เงินสำรองต่าง ๆ หรือเงินกองทุนของตนเองถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม
  13. ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืน เนื่องจากการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ หรือผลขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ๆ ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม เว้นแต่ ผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน กรณีความเสียหายนั้นมีทางที่จะได้รับการชดใช้ตามสัญญา แต่ถ้าได้รับค่าชดใช้เพียงบางส่วน ส่วนที่เหลือก็ลงเป็นรายจ่ายได้
  14. รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม เพราะบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนตั้งขึ้นเพื่อมุ่งค้าหากำไร การชำระเงินควรอยู่ภายในวัตถุประสงค์ของการประกอบกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
  15. ค่าซื้อทรัพย์สินและรายจ่ายเกี่ยวกับการซื้อหรือขายทรัพย์สินในส่วนที่เกินปกติ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม ซึ่งอาจกระทำกันภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ หรืออาจเรียกราคาดังกล่าวว่า การกำหนดราคาโอน (Transfer Pricing)
  16. ค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่สูญหรือสิ้นไปเนื่องจากกิจการที่ทำถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม เช่น การทำเหมืองแร่ หรือการทำป่าไม้ ระยะเวลาที่ดำเนินกิจการขุดแร่หรือตัดไม้เพื่อนำไปจำหน่ายนั้น จำนวนสินแร่ในดินหรือจำนวนป่าไม้ย่อมน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด การที่จำนวนสินแร่หรือจำนวนไม้ในเขตที่ได้รับสัมปทานลดน้อยลงหรือจะหมดไปหรือสูญสิ้นไปนั้น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะตีราคาหรือนำมูลค่าที่ลดน้อยลงนั้นมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (16) แห่งประมวลรัษฎากร

เงินได้พึงประเมินแต่ละกรณีจะคำนวณหักค่าใช้จ่ายได้เท่าใด?

เงินได้พึงประเมิณ
เงินได้พึงประเมิณ

ค่าใช้จ่ายเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการคำนวณภาษี ถือเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับหักเป็นต้นทุนในการทำงาน เพื่อให้ได้เงินได้หรือรายได้สุทธินั้นมาคิดภาษีตามบัญชีอัตราภาษี โดยมีอัตราการหักค่าใช้จ่ายมากหรือน้อยตามแต่ละประเภทของเงินได้ สรุปได้ดังนี้

อ่านบทความ >>> ตัวอย่าง ค่าใช้จ่าย สํานักงาน มีอะไรบ้าง ?

เงินได้พึงประเมิน 8 ประเภท

ประเภทเงินได้หักค่าใช้จ่าย
1. เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง50% ไม่เกิน 100,000 บาท
หากมีเงินได้ประเภทที่ 1 และ 2 ให้นำเงินได้ทั้ง 2 ประเภท
รวมกันแต่หักได้ไม่เกิน 100,000 บาท
2. เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ฯลฯ
3. ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น50% ไม่เกิน 100,000 บาท หรือตามจริง
4. ดอกเบี้ย เงินปันผล ส่วนแบ่งกำไร ฯลฯหักค่าใช้จ่ายไม่ได้
5. รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน การผิดสัญญาเช่าซื้อ การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน
    – บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง แพ
    – ที่ดินที่ใช้ในการเกษตร
    – ที่ดินที่มิได้ใช้ในการเกษตร
    – ยานพาหนะ
    – ทรัพย์สินอื่น
ตามจริงหรืออัตราเหมา
30%
20%
15%
30%
10%
6. วิชาชีพอิสระ
    – ประกอบโรคศิลปะ
    – กฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรร
ตามจริงหรืออัตราเหมา
60%
30%
7. รับเหมาก่อสร้างตามจริงหรืออัตราเหมา 60%
8. รายได้อื่น นอกเหนือจาก 1-7 *ตามจริงหรืออัตราเหมา 40% และ 60%
* ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 629) พ.ศ.2560

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com