website

25+ เว็บไซต์มีอะไรบ้าง ตัวอย่างสร้างฟรีประโยชน์?

Click to rate this post!
[Total: 179 Average: 5]

เว็บไซต์

เว็บไซต์ คือ (website, web site หรือ site) หมายถึง หน้าเว็บเพจหลายหน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์ที่เก็บไว้ที่ชื่อหลักจะเรียกว่า โฮมเพจ เว็บไซต์โดยทั่วไปจะให้บริการต่อผู้ใช้ฟรี

          แต่ในขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จำเป็นต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการเพื่อที่จะดูข้อมูล ในเว็บไซต์นั้น ซึ่งได้แก่ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ หรือข้อมูลสื่อต่าง ๆ ผู้ทำเว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึงระดับเว็บไซต์สำหรับธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ การเรียกดูเว็บไซต์โดยทั่วไปนิยมเรียกดูผ่านซอฟต์แวร์ในลักษณะของเว็บเบราว์เซอร์

เว็บไซต์มีอะไรบ้าง

เว็บไซต์สามารถมีหลากหลายประเภทและฟังก์ชันต่างๆ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการออกแบบของแต่ละเว็บไซต์ นี่คือบางตัวอย่างของเว็บไซต์ที่คุณอาจพบ

  1. เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์ที่ให้บริการเผยแพร่ข่าวสาร รายงาน หรือบทความในหัวข้อต่างๆ เช่น BBC News, CNN, The New York Times เป็นต้น.

  2. เว็บไซต์ออนไลน์ช้อปปิ้ง เว็บไซต์ที่ให้บริการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ เช่น Amazon, eBay, Lazada, Shopee เป็นต้น.

  3. เว็บไซต์สังคมออนไลน์ เว็บไซต์ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน และให้พื้นที่ในการแชร์เนื้อหา เช่น Facebook, Instagram, Twitter เป็นต้น.

  4. เว็บไซต์บันเทิง เว็บไซต์ที่ให้บริการเกมออนไลน์, วิดีโอ, เพลง, หนัง, หรือคอนเทนต์สำหรับการพักผ่อน เช่น YouTube, Netflix, Spotify, Steam เป็นต้น.

  5. เว็บไซต์ธุรกิจ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและการค้า เช่นเว็บไซต์ของบริษัท, เว็บไซต์ออนไลน์สำหรับการจองโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น.

  6. เว็บไซต์การศึกษา เว็บไซต์ที่ให้บริการเนื้อหาทางการศึกษา เช่นคอร์สออนไลน์, แหล่งข้อมูลทางการศึกษา เป็นต้น.

  7. เว็บไซต์บล็อก เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็นบทความส่วนตัวหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น WordPress, Blogger, Medium เป็นต้น.

  8. เว็บไซต์รายการทีวีและภาพยนตร์ เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายการทีวีและภาพยนตร์ เช่น IMDb, TV Series และเว็บไซต์อื่นๆที่ให้ข้อมูลรีวิวหนัง เป็นต้น.

  9. เว็บไซต์การท่องเที่ยว เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว การท่องเที่ยวในประเทศหรือต่างประเทศ แผนการเดินทาง และการจองที่พัก เช่น TripAdvisor, Booking.com, Agoda เป็นต้น.

  10. เว็บไซต์การเรียนออนไลน์ เว็บไซต์ที่ให้คอร์สเรียนและการศึกษาออนไลน์ ทั้งที่เป็นคอร์สเรียนเต็มรูปแบบและคอร์สเรียนสั้นๆ เช่น Udemy, Coursera, Khan Academy เป็นต้น.

  11. เว็บไซต์การจัดการทรัพยากรบุคคล เว็บไซต์ที่ให้บริการสำหรับการจัดการทรัพยากรบุคคลในองค์กร เช่นการค้นหางาน สมัครงาน หรือแบบทดสอบบุคลิกภาพ เช่น LinkedIn, Glassdoor, Indeed เป็นต้น.

  12. เว็บไซต์ทางการเงินและการลงทุน เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน ประกันภัย และบริการทางการเงินอื่นๆ เช่น Bloomberg, Investopedia, E*TRADE เป็นต้น.

  13. เว็บไซต์การค้นคว้าและการเรียนรู้ เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลและเครื่องมือในการค้นคว้าและการเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆ เช่น Google Scholar, Wikipedia, TED เป็นต้น.

  14. เว็บไซต์บริการการเดินทาง เว็บไซต์ที่ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ รถบัส หรือบริการอื่นๆ เช่น Expedia, Skyscanner, 12Go Asia เป็นต้น.

  15. เว็บไซต์ดาวน์โหลดและแบ่งปันไฟล์ เว็บไซต์ที่ให้บริการดาวน์โหลดและแบ่งปันไฟล์ต่างๆ เช่น Google Drive, Dropbox, Mega เป็นต้น.

  16. เว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์ที่เน้นรูปภาพและวิดีโอ เว็บไซต์ที่เน้นการแชร์และเผยแพร่รูปภาพและวิดีโอ เช่น Pinterest, TikTok, Instagram เป็นต้น.

  17. เว็บไซต์การบริการอาหารและส่งอาหาร เว็บไซต์ที่ให้บริการการสั่งอาหารออนไลน์ หรือการจองโต๊ะร้านอาหาร เช่น GrabFood, FoodPanda, OpenTable เป็นต้น.

  18. เว็บไซต์สื่อข้อมูลและเนื้อหาการเรียนรู้ เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลและเนื้อหาการเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆ เช่น TED-Ed, Khan Academy, Codecademy เป็นต้น.

  19. เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เว็บไซต์ที่ให้บริการการซื้อขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการซื้อขายและการประมูลสินค้า เช่น eBay, Etsy, Alibaba เป็นต้น.

  20. เว็บไซต์การเรียนรู้ภาษา เว็บไซต์ที่ให้บริการการเรียนรู้และฝึกภาษาต่างๆ เช่น Duolingo, Babbel, Rosetta Stone เป็นต้น.

  21. เว็บไซต์การจัดการโครงการและงาน เว็บไซต์ที่ให้บริการการจัดการโครงการ และการทำงานร่วมกัน เช่น Trello, Asana, Basecamp เป็นต้น.

  22. เว็บไซต์การค้นหางาน เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาตำแหน่งงานว่าง การสมัครงาน และข้อมูลเกี่ยวกับตลาดแรงงาน เช่น LinkedIn, Indeed, Glassdoor เป็นต้น.

  23. เว็บไซต์สำหรับการตลาดออนไลน์ เว็บไซต์ที่ให้บริการเครื่องมือและแพลตฟอร์มสำหรับการตลาดออนไลน์ เช่น MailChimp, Hootsuite, Google Ads เป็นต้น.

  24. เว็บไซต์บันเทิงและเกม เว็บไซต์ที่ให้บริการเกมออนไลน์ วิดีโอบล็อก หรือเนื้อหาบันเทิงต่างๆ เช่น Twitch, IGN, Polygon เป็นต้น.

  25. เว็บไซต์สารสนเทศทางการแพทย์ เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลทางการแพทย์ รักษาโรค และสุขภาพ เช่น WebMD, Mayo Clinic, Healthline เป็นต้น.

  26. เว็บไซต์และแพลตฟอร์มสื่อสังคมทางธุรกิจ เว็บไซต์ที่เน้นการสร้างความเชื่อมโยงทางธุรกิจ และการแบ่งปันความรู้ในวงการธุรกิจ เช่น LinkedIn, Crunchbase, Slack เป็นต้น.

อีกมากมายที่นอกเหนือจากนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและความสนใจของผู้ใช้แต่ละคน วงการเว็บไซต์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในด้านต่างๆ

ประเภทของเว็บไซต์
ประเภทของเว็บไซต์

ตัวอย่างเว็บไซต์

นี่คือบางตัวอย่างเว็บไซต์ที่คุณอาจพบบนอินเทอร์เน็ต

  1. Facebook (https//www.facebook.com) เว็บไซต์สังคมออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้สร้างโพสต์, แชร์รูปภาพและวิดีโอ, เชื่อมต่อกับเพื่อนและครอบครัว, และสื่อสารกับผู้ใช้คนอื่นๆ.

  2. Amazon (https//www.amazon.com) เว็บไซต์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าต่างๆ ตั้งแต่หนังสือ, เสื้อผ้า, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, และอื่นๆ.

  3. YouTube (https//www.youtube.com) เว็บไซต์แชนแนลวิดีโอออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถดูวิดีโอที่สร้างโดยผู้ใช้คนอื่น, อัพโหลดวิดีโอของตนเอง, และแบ่งปันวิดีโอได้.

  4. Wikipedia (https//www.wikipedia.org) เว็บไซต์สารานุกรมออนไลน์ที่ให้ข้อมูลและบทความในหลากหลายหัวข้อ ซึ่งสามารถแก้ไขและเพิ่มเติมข้อมูลได้จากผู้ใช้ทั่วไป.

  5. Netflix (https//www.netflix.com) เว็บไซต์บริการสตรีมมิ่งวิดีโอออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้สามารถรับชมภาพยนตร์, ซีรีย์, และเนื้อหาบันเทิงอื่นๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต.

  6. LinkedIn (https//www.linkedin.com) เว็บไซต์เครือข่ายธุรกิจออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกับผู้ประกอบการ, ค้นหางาน, และแบ่งปันข้อมูลทางธุรกิจ.

  7. Reddit (https//www.reddit.com) เว็บไซต์ฟอรั่มออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถแสดงความคิดเห็น, แบ่งปันเนื้อหา, และเข้าร่วมการสนทนาในหลากหลายหัวข้อ.

  8. Instagram (https//www.instagram.com) เว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้แชร์รูปภาพและวิดีโอ, ติดตามผู้ใช้คนอื่น, และเพิ่มเติมภาพกรอบและตัวกรอง.

  9. IMDb (https//www.imdb.com) เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์, รายชื่อนักแสดง, ผู้กำกับ, รีวิว, และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์.

  10. Spotify (https//www.spotify.com) เว็บไซต์บริการสตรีมเพลงออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงเพลงและบทเพลงจากศิลปินต่างๆ และสร้างรายการเพลงเป็นของตนเอง.

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของเว็บไซต์ที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ แต่มีเว็บไซต์อีกมากมายที่สามารถตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้ใช้ในหลายๆ ด้าน

เว็บไซต์ฟรี

นี่คือบางตัวอย่างของเว็บไซต์ที่ให้บริการฟรี

  1. WordPress.com เว็บไซต์ที่ให้บริการโฮสติ้งเว็บฟรีและแพลตฟอร์มการสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและมีระบบจัดการเนื้อหา

  2. Wix.com เว็บไซต์ที่ให้บริการสร้างเว็บไซต์และโฮสติ้งฟรีด้วยเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

  3. Blogger.com เว็บไซต์ที่ให้บริการสร้างบล็อกฟรีและโฮสติ้งเพื่อแบ่งปันเรื่องราวและความคิดเห็น

  4. Weebly.com เว็บไซต์ที่ให้บริการสร้างและโฮสติ้งเว็บไซต์ฟรีและเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

  5. Google Sites เว็บไซต์ที่ให้บริการสร้างเว็บไซต์ฟรีโดยใช้เครื่องมือแบบลากและวางของ Google

  6. GitHub Pages เว็บไซต์ที่ให้บริการโฮสติ้งเว็บไซต์ฟรีและการเชื่อมโยงกับโครงการบน GitHub

  7. InfinityFree เว็บไซต์ที่ให้บริการโฮสติ้งเว็บไซต์ฟรีโดยมีผู้ให้บริการโฮสติ้งจำนวนมาก

  8. 000webhost เว็บไซต์ที่ให้บริการโฮสติ้งเว็บไซต์ฟรีโดยมีผู้ให้บริการโฮสติ้งที่มีคุณภาพ

  9. AwardSpace เว็บไซต์ที่ให้บริการโฮสติ้งเว็บไซต์ฟรีและโดเมนฟรี

  10. Byet.host เว็บไซต์ที่ให้บริการโฮสติ้งเว็บไซต์ฟรีพร้อมคุณภาพที่ดี

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของเว็บไซต์ที่ให้บริการฟรี หากคุณสนใจในการสร้างเว็บไซต์ฟรีคุณอาจต้องพิจารณาประเภทของเว็บไซต์ที่คุณต้องการและความต้องการเฉพาะของคุณเพื่อเลือกเว็บไซต์ที่เหมาะสมสำหรับคุณ

สร้างเว็บไซต์

หากคุณต้องการสร้างเว็บไซต์ นี่คือขั้นตอนพื้นฐานที่คุณสามารถทำได้

  1. กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ กำหนดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการเว็บไซต์เพื่ออะไร เช่น ใช้เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับธุรกิจ, สร้างบล็อกส่วนตัว, หรือแสดงผลงานส่วนตัว เป็นต้น

  2. เลือกแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ มีหลายแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่ให้บริการออนไลน์ เช่น WordPress, Wix, Weebly, Squarespace, ซึ่งมีเครื่องมือและเทมเพลตสำหรับสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย

  3. ลงทะเบียนโดเมน เลือกและจดทะเบียนชื่อโดเมนของเว็บไซต์ที่คุณต้องการ โดยทำการซื้อจากผู้ให้บริการโดเมนที่เชื่อถือได้ เช่น GoDaddy, Namecheap

  4. เลือกเทมเพลตหรือออกแบบ เลือกเทมเพลตที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และสไตล์ของเว็บไซต์ของคุณ หากคุณมีความคล่องตัวในการออกแบบเว็บไซต์ คุณสามารถสร้างเทมเพลตแบบกำหนดเองได้

  5. สร้างและจัดระเบียบเนื้อหา เพิ่มเนื้อหาที่ต้องการในเว็บไซต์ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท, ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณขาย, บทความ, รูปภาพ, วิดีโอ เป็นต้น และจัดระเบียบให้มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ

  6. ปรับแต่งรูปแบบและสไตล์ ปรับแต่งสี, แบบอักษร, และรูปแบบการแสดงผลเพื่อให้เว็บไซต์ดูน่าสนใจและตรงกับแบรนด์หรือสไตล์ของคุณ

  7. เพิ่มคุณสมบัติและปรับแต่งเพิ่มเติม เพิ่มฟอร์มติดต่อ, สไลด์รูปภาพ, แผนที่, การแชร์สื่อสังคม หรือคุณสมบัติอื่นๆ ตามความต้องการของคุณ

  8. ทดสอบและปรับปรุง ทดสอบการทำงานของเว็บไซต์ในหลายๆ เบราว์เซอร์และอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, มือถือ เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง

  9. โฮสต์เว็บไซต์ เลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งเว็บไซต์ที่เหมาะสมและลงทะเบียนเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณเป็นไปออนไลน์

  10. โปรโมทและเผยแพร่ โปรโมทเว็บไซต์ของคุณผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การใช้ SEO, การโฆษณาออนไลน์, และการสร้างความรู้สึกให้ผู้คนรู้จักเว็บไซต์ของคุณ

ทั้งนี้การสร้างเว็บไซต์สามารถทำเองได้หากคุณมีความรู้และทักษะทางเทคนิค หรือคุณสามารถใช้บริการผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเว็บไซต์แบบมืออาชีพได้

ประโยชน์ของเว็บไซต์

เว็บไซต์มีประโยชน์มากมายต่อผู้ใช้และธุรกิจ นี่คือบางประโยชน์หลักของเว็บไซต์

  1. เพิ่มความเข้าถึงและการเผยแพร่ เว็บไซต์ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาของธุรกิจหรือองค์กรของคุณได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเผยแพร่ข้อมูลสินค้า, บริการ, ข่าวสาร, และข้อมูลอื่นๆ ได้ตลอดเวลาที่ผู้ใช้ต้องการ

  2. สร้างภาพลักษณ์และองค์กรบนอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ช่วยในการสร้างภาพลักษณ์และยึดความเชื่อมั่นของธุรกิจหรือองค์กร โดยการสร้างการประชาสัมพันธ์, การแสดงผลผลิตภัณฑ์และบริการ, และการแสดงความเชื่อมั่นของลูกค้าผ่านเรื่องราวและรีวิว

  3. เพิ่มการขายและการทำธุรกิจออนไลน์ เว็บไซต์สามารถช่วยเพิ่มยอดขายและการทำธุรกิจออนไลน์ได้ โดยผู้ใช้สามารถทำการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านเว็บไซต์ได้โดยตรง และธุรกิจสามารถติดตามและจัดการการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  4. การสร้างความเชื่อมั่นและความเป็นมืออาชีพ เว็บไซต์ที่มีการออกแบบที่สมบูรณ์และมีคุณภาพสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ และยืนยันความมืออาชีพของธุรกิจหรือบุคคล

  5. การสื่อสารและการติดต่อ เว็บไซต์ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อและสื่อสารกับธุรกิจหรือองค์กรได้อย่างง่ายดายผ่านแบบฟอร์มติดต่อหรือช่องทางการสนทนาออนไลน์

  6. การสร้างความรู้สึกและประสบการณ์ผู้ใช้ เว็บไซต์ที่มีการออกแบบที่ดีและมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีสร้างความประทับใจและความพึงพอใจให้กับผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจในการใช้งานและเป็นลูกค้าประจำของธุรกิจหรือองค์กร

  7. การติดตามและวิเคราะห์ผู้ใช้ เว็บไซต์สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อติดตามพฤติกรรมและพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, การเชื่อมโยง, และการกระทำในเว็บไซต์ ที่ช่วยในการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม

เว็บไซต์มีบทบาทสำคัญในการสร้างและสรรค์ประสบการณ์ทางดิจิทัลสำหรับผู้ใช้และธุรกิจ ช่วยเพิ่มความเข้าถึง, สร้างความน่าเชื่อถือ, และส่งเสริมการเติบโตในสายธุรกิจออนไลน์

โฮมเพจ คือ 

โฮมเพจ (Homepage) คือ หน้าหลักหรือหน้าแรกของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นหน้าที่ผู้ใช้เข้ามาเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อเข้าชมเว็บไซต์นั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วโฮมเพจจะเป็นจุดเริ่มต้นในการนำทางผู้ใช้ไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์ เช่น หน้าสินค้า, เกี่ยวกับเรา, บทความ, หรือเนื้อหาอื่น ๆ

โฮมเพจมักมีเนื้อหาและองค์ประกอบหลายอย่าง เพื่อนำเสนอข้อมูลสำคัญและเนื้อหาที่ผู้ใช้สนใจ อาจประกอบไปด้วย

  1. โลโก้และชื่อเว็บไซต์ โฮมเพจมักจะมีโลโก้และชื่อเว็บไซต์ที่แสดงบนส่วนบนของหน้าเพจ

  2. เมนู เมนูนำทางเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์ โดยจะแสดงลิงก์หรือปุ่มที่เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์

  3. เนื้อหาสำคัญ โฮมเพจมักมีเนื้อหาสำคัญที่จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจรวมถึงกำหนดบริการหรือผลิตภัณฑ์ของธุรกิจหรือองค์กร

  4. อินโทรและแสดงผล โฮมเพจสามารถแสดงภาพ, วิดีโอ, และองค์ประกอบมัลติมีเดียอื่น ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์และน่าสนใจต่อผู้ใช้

  5. แนะนำสินค้าหรือบริการ บางครั้งโฮมเพจจะแสดงสินค้าหรือบริการที่สำคัญของธุรกิจ เพื่อดึงดูดความสนใจและเป็นกำลังใจให้ผู้ใช้ต่อไป

โฮมเพจมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอธุรกิจหรือองค์กรให้ผู้ใช้รู้จัก และช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

ประเภทของเว็บไซต์

มีประเภทเว็บไซต์หลายประเภทตามวัตถุประสงค์และการใช้งาน นี่คือบางประเภทหลักของเว็บไซต์

  1. เว็บไซต์บริษัทหรือธุรกิจ เว็บไซต์ที่ใช้ในการแสดงและโปรโมตธุรกิจหรือบริษัท เช่น เว็บไซต์ของบริษัท, ร้านค้าออนไลน์, เว็บไซต์โรงแรม หรือร้านอาหาร

  2. เว็บไซต์บล็อก เว็บไซต์ที่ใช้ในการเผยแพร่เนื้อหาหรือบทความที่สามารถอัพเดทและแสดงความคิดเห็น ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์บล็อกส่วนตัว, เว็บไซต์บล็อกเกี่ยวกับอาหาร, เทคโนโลยี, หรือการเดินทาง

  3. เว็บไซต์ข่าวและสื่อ เว็บไซต์ที่ให้บริการข่าวสารและเนื้อหาสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์ข่าว, เว็บไซต์บทความวิชาการ, เว็บไซต์วิทยุ หรือเว็บไซต์ทีวีออนไลน์

  4. เว็บไซต์สังคมออนไลน์ เว็บไซต์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ใช้คนอื่น ๆ เช่น เฟสบุ๊ค, ไลน์, ทวิตเตอร์

  5. เว็บไซต์การศึกษาและการเรียนรู้ เว็บไซต์ที่ให้บริการเนื้อหาการศึกษาและการเรียนรู้ เช่น เว็บไซต์มหาวิทยาลัย, เว็บไซต์คอร์สออนไลน์

  6. เว็บไซต์บันเทิงและสื่อ เว็บไซต์ที่ให้บริการเนื้อหาบันเทิงและสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์ฟิล์ม, เว็บไซต์เพลง

  7. เว็บไซต์บุคคล เว็บไซต์ส่วนตัวของบุคคลที่ใช้เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เว็บไซต์โปรไฟล์ส่วนตัว

นี่เป็นแค่บางประเภทของเว็บไซต์ที่พบบ่อย ๆ แต่ยังมีประเภทอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งสามารถกำหนดตามความต้องการและวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์นั้น ๆ

 
 
 

โดเมนเนม

          โดเมนเนม คือ (domain name) คือ ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อไปค้นหาในระบบโดเมนเนมซีสเทม (Domain Name System) เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส ของชื่อนั้นๆ เป็นชื่อที่ผู้จดทะเบียนระบุให้กับผู้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของตน บางครั้ง เราอาจจะใช้ “ที่อยู่เว็บไซต์” หรือ “Web Address” แทนก็ได้

          โดเมนเนม หรือ ชื่อโดเมน เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากไอพีแอดเดรสนั้นจดจำได้ยาก และเมื่อเจ้าของเว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรส ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสใหม่ ยังคงใช้โดเมนเนมเดิมได้ต่อไป

องค์ประกอบของชื่อโดเมน

  1. ในการพิมพ์ชื่อโดเมนโดยทั่วไป จะเริ่มต้นด้วย www
  2. ซึ่งเป็นการเข้าสู่ระบบโดยการอ้างถึงเอกสารแบบ Hypertext
  3. จากนั้นจึงคั่นด้วยจุดและตามด้วยชื่อโดเมนเนม เช่น www.webmaster.or.th
  4. เงื่อนไขการตั้งชื่อโดเมนเนม อักขระที่จะใช้ในการตั้งชื่อโดเมนเนม ได้แก่ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเลข และ “-” (ยัติภังค์) คั่นด้วย “.” (มหัพภาค) มีความยาวตั้งแต่ 1 ถึง 63 ตัวอักษร ตัวอักษรตัวใหญ่ A-Z หรือตัวอักษรตัวเล็ก ถือว่าเหมือนกัน

โดเมนเนม domain name คือ

ที่อยู่เว็บไซต์ เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting)

          ที่อยู่เว็บไซต์ เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) คือ รูปแบบการให้บริการสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ใช้งานนั้นมีความต้องที่จะฝากเว็บไซต์ของตนเองไว้กับผู้ให้บริการเซิฟเวอร์ (HSP Hosting Service Provider) เพื่อให้เว็บไซต์ของตนเองนั้น ออนไลน์อยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชม. โดยที่ทางผู้ให้บริการจะจัดเก็บข้อมูลเว็บไซต์ ฐานข้อมูล อีเมล ฯลฯ ไว้ในเครื่องเซิฟเวอร์ หรือที่เรียกกันว่าเว็บเซิฟเวอร์ (Web Server) ซึ่งเว็บเซิฟเวอร์จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่จะแสดงผลหน้าเว็บไซต์ให้กับผู้ท่องอินเทอร์เน็ตทั่วไปได้เช้าชมผ่านโดเมนเนม ได้ตลอดเวลา

          ดังนั้นผู้ที่ต้องการออนไลน์เว็บไซต์ของตนเองจึงต้องคำนึงถึงเว็บเซิฟเวอร์ก่อน แต่ด้วยความที่เว็บเซิฟเวอร์นั้นมีราคาค่อนข้างสูง บวกกับจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยดูแลเซิฟเวอร์ในด้านเทคนิคต่างๆ อีก ทำให้เจ้าของเว็บไซต์ส่วนใหญ่จึงหันมาใช้บริการ Web Hosting เนื่องจากค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาก

การหาเว็บโฮสติ้งที่ดี

การหาเว็บโฮสติ้งที่ดี ต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง

  1. การบริการ ผู้ให้บริการ เว็บโฮสติ้ง ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ในด้าน เว็บโฮสติ้ง โดยเฉพาะ อีกทั้งต้องคอยดูแลเซิฟเวอร์และคอยบริการแก้ไขปัญหาของผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ปัญหาค้างคาจนธุรกิจของลูกค้าเสียหาย
  2. Server เซิฟเวอร์ต้องมีประสิทธิภาพ เสถียร ไม่ล่ม ต้องมี Uptime เกิน 99.9% ไม่ใช้ PC มาแอบอ้าง และต้องมีหน่วยประมวลผลที่รวดเร็ว เพื่อให้เข้าเว็บไซต์ได้แบบไม่ต้องรอโหลดนาน เช่น DELL PowerEdge R210-II Server เป็นต้น
  3. Location เซิฟเวอร์ต้องตั้งอยู่ใน Data Center ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทั่วโลกตลอด 24 ชม. ด้วยความเร็วสูงสุด พร้อมต้องมีเจ้าหน้าที่ควบคุมความปลอดภัยในด้านต่างๆ เช่น CAT-IDC ที่อาคาร กสท. เป็นต้น
เว็บโฮสติ้งที่ดี
เว็บโฮสติ้งที่ดี

ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์

          ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ (Content Management System CMS) คือ ระบบที่พัฒนา คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยลดทรัพยากรในการพัฒนา (Development) และบริหาร (Management) เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และเงินทอง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแลไซต์โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะนำเอา ภาษาสคริปต์ (Script languages) ต่างๆมาใช้ เพื่อให้วิธีการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น PHP, Perl, ASP, Python หรือภาษาอื่นๆ(แล้วแต่ความถนัดของผู้พัฒนา) ซึ่งมักต้องใช้ควบคู่กันกับโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์(เช่น Apache) และดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ (เช่น MySQL)

ลักษณะเด่นของ CMS

           ลักษณะเด่นของ CMS คือ มีส่วนของ Administration panel (เมนูผู้ควบคุมระบบ) ที่ใช้ในการบริหารจัดการส่วนการทำงานต่างๆในเว็บไซต์ ทำให้สามารถบริหารจัดการเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว และเน้นที่การ จัดการระบบผ่านเว็บ(Web interface) ในลักษณะรูปแบบของ ระบบเว็บท่า(Portal Systems) โดยตัวอย่างของฟังก์ชันการทำงาน ได้แก่

  1. การนำเสนอบทความ(Articles)
  2. เว็บไดเรคทอรี(Web directory)
  3. เผยแพร่ข่าวสารต่างๆ(News)
  4. หัวข้อข่าว(Headline)
  5. รายงานสภาพดินฟ้าอากาศ(Weather)
  6. ข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจ(Informations)
  7. ถาม/ตอบปัญหา(FAQs)
  8. ห้องสนทนา(Chat)
  9. กระดานข่าว(Forums)
  10. การจัดการไฟล์ในส่วนดาวน์โหลด(Downloads)
  11. แบบสอบถาม(Polls)
  12. ข้อมูลสถิติต่างๆ(Statistics)

และส่วนอื่นๆอีกมากมาย ที่สามารถเพิ่มเติม ดัดแปลง แก้ไขแล้วประยุกต์นำมาใช้งานให้เหมาะสมตามแต่รูปแบบและประเภทของเว็บไซต์นั้นๆ

เว็บไซต์
เว็บไซต์

โฮมเพจ เว็บเพจ และเว็บไซต์ คืออะไร

เว็บไซต์ คือสื่อนำเสนอข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือคือการรวบรวม หน้าเว็บเพจหลายหน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ซึ่งต้องเปิดด้วยโปรแกรมเฉพาะทางที่เรียกว่า Web Browser โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ และเว็บไซต์นั้นถูกสร้างขึ้นด้วยภาษาทางคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า HTML (Hyper Text Markup Language) และได้มีการพัฒนาและนำภาษาอื่นๆเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้มีความสามารถมากขึ้น เช่น PHP , SQL , Java ฯลฯ

เว็บไซต์ นั้นมีคำศัพท์เฉพาะทางหลายคำ เช่น เว็บเพจ (web page) และ โฮมเพจ (home page) เป็นต้น ปัจจุบันการออกแบบ เว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เนื่องจากมีเครื่องมือในการ ออกแบบ เว็บไซต์ ให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่ง CMS (Content Management System) อย่าง joomla, wordpress, drupal เป็นต้น
โดยเว็บไซต์นั้นมีไว้เพื่อแสดงข้อมูลที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ทำเว็บไซต์นั้นๆ เช่น แสดงข้อมูลข่าวสารต่างๆ , ข้อมูลบริษัท , ขายสินค้า เป็นต้น

ชื่อของเว็บไซต์

ชื่อของเว็บไซต์ คือ โดเมนเนม (domain name) คือ ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อไปค้นหาในระบบโดเมนเนมซีสเทม (Domain Name System) เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส ของชื่อนั้นๆ เป็นชื่อที่ผู้จดทะเบียนระบุให้กับผู้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของตน บางครั้ง เราอาจจะใช้ “ที่อยู่เว็บไซต์” หรือ “Web Address” แทนก็ได้

โดเมนเนม หรือ ชื่อโดเมน เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากไอพีแอดเดรสนั้นจดจำได้ยาก และเมื่อเจ้าของเว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรส ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสใหม่ ยังคงใช้โดเมนเนมเดิมได้ต่อไป

องค์ประกอบของชื่อโดเมน ในการพิมพ์ชื่อโดเมนโดยทั่วไป จะเริ่มต้นด้วย www ซึ่งเป็นการเข้าสู่ระบบโดยการอ้างถึงเอกสารแบบ Hypertext จากนั้นจึงคั่นด้วยจุดและตามด้วยชื่อโดเมนเนม เช่น www.webmaster.or.th
เงื่อนไขการตั้งชื่อโดเมนเนม อักขระที่จะใช้ในการตั้งชื่อโดเมนเนม ได้แก่ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเลข และ “-” (ยัติภังค์) คั่นด้วย “.” (มหัพภาค) มีความยาวตั้งแต่ 1 ถึง 63 ตัวอักษร ตัวอักษรตัวใหญ่ A-Z หรือตัวอักษรตัวเล็ก ถือว่าเหมือนกัน

เว็บเพจคืออะไร

เว็บเพจ (Web page) คือหน้าเว็บไซต์ที่ปรากฏบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเว็บไซต์ โดยเว็บเพจจะมีเนื้อหาและรูปแบบการแสดงผลที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์นั้นๆ

เว็บเพจสามารถมีลักษณะและรูปแบบที่แตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบและการจัดหน้าที่ผู้สร้างเว็บไซต์ต้องการให้ผู้เข้าชมมีประสบการณ์การเรียกดูที่เหมาะสม รวมถึงการให้ข้อมูลหรือบริการที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์

เว็บเพจอาจประกอบไปด้วยส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น

  1. เนื้อหา (Content) เป็นส่วนที่ประกอบด้วยข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่มีไว้สำหรับการแสดงผลและให้ข้อมูลต่างๆ

  2. รูปแบบการแสดงผล (Layout) เป็นการจัดรูปแบบหน้าเว็บ เช่นการจัดตำแหน่งและขนาดของส่วนต่างๆ เพื่อให้เว็บไซต์มีลักษณะและการแสดงผลที่เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย

  3. เมนู (Menu) เป็นส่วนที่ช่วยในการนำทางผู้ใช้ในการเข้าถึงเนื้อหาหรือบริการต่างๆ ในเว็บไซต์

  4. ลิงก์ (Links) เป็นการเชื่อมโยงหน้าเว็บเพจกับหน้าเว็บเพจอื่นๆ หรือเว็บไซต์ภายนอก เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมได้

  5. แบบฟอร์ม (Forms) เป็นส่วนที่ผู้ใช้สามารถกรอกข้อมูลหรือส่งข้อมูลต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ เช่นแบบฟอร์มการติดต่อ, แบบฟอร์มการสมัครสมาชิก เป็นต้น

  6. สไลด์รูปภาพ (Image Sliders) เป็นส่วนที่แสดงภาพสไลด์หรือสไลด์เนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาหรือการเลื่อนหน้า

  7. หน้าเพจเสริม (Additional Pages) เว็บไซต์อาจประกอบไปด้วยหลายหน้าเพจ เช่น หน้าเกี่ยวกับเรา, หน้าบริการ, หน้าบทความ เป็นต้น

  1. การสื่อสารแบบสด (Live Chat) เว็บเพจสามารถมีระบบสนทนาแบบสดที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารและติดต่อกับผู้ดูแลเว็บไซต์หรือทีมงานได้อย่างง่ายดาย

  2. แผนที่และการนำทาง (Maps and Navigation) เว็บเพจสามารถนำเสนอแผนที่และการนำทาง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสถานที่และวิธีการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ

  3. ฟอรั่ม (Forums) เว็บเพจสามารถมีส่วนเป็นฟอรั่มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลกับผู้ใช้คนอื่นๆ

  4. การบันทึกข้อมูลผู้ใช้ (User Data Collection) เว็บเพจสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ เช่น ข้อมูลการลงชื่อเข้าใช้, การลงทะเบียนสมาชิก เพื่อให้บริการหรือปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

  5. การแชร์สื่อสังคม (Social Sharing) เว็บเพจสามารถให้ผู้ใช้แชร์เนื้อหาต่างๆ ไปยังแพลตฟอร์มสื่อสังคมอื่นๆ เพื่อสร้างการแพร่กระจายและเผยแพร่เนื้อหาของเว็บไซต์

  6. การปรับแต่งตามความต้องการ (Customization) เว็บเพจสามารถให้ผู้ใช้ปรับแต่งตามความต้องการ โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบสี เลือกภาษา หรือตั้งค่าต่างๆ ตามสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ

  7. คุกกี้ (Cookies) เว็บเพจสามารถใช้คุกกี้เพื่อเก็บข้อมูลและติดตามการใช้งานของผู้ใช้ และใช้ข้อมูลนี้ในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้น

เว็บเพจเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์ โดยการออกแบบและพัฒนาเว็บเพจให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ อย่างสะดวกและรวดเร็ว

ขอบคุณทึ่มาบทความ:webmaster.or.th