เพลงชาติไทย
เพลงชาติไทยมีขึ้นนับแต่มีการเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ.2475 ขณะนั้นประเทศไทยใช้ชื่อว่า ประเทศสยาม เพลงชาติไทยครั้งแรก
จึง มีเนื้อร้องใช้ชื่อประเทศสยาม ผู้ประพันธ์เนื้อร้อง คือ ขุนวิจิตรมาตรา ( รองอำมาตย์โทสง่า กาญจนาคพันธุ์ ) และ พระเจนดุริยางค์ ( ปิติ วาทยากร )
ประพันธ์ทำนอง เนื้อร้องเพลงชาติครั้งแรกมีดังนี้
“แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณมา รวมรักษาสามัคคีทวีไทย
บางสมัยศัตรูจู่โจมตี ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท สยามสมัยโบราณรอดตลอดมา
อันดินสยามคือว่าเนื้อของไทย น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราชคือเจดีย์ที่เราบูชา เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย สถาปนาสยามให้เทิดไทย ไชโยฯ “
ประวัติเนื้อเพลงชาติไทย พุทธศักราช ๒๔๘๒ รัฐบาลเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” มาเป็นประเทศไทย
ทำให้เกิดการแก้ไขบทร้องเพลงชาติใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งโดยประกาศให้ยื่นประกวดเนื้อเพลงที่แต่งให้เข้ากับทำนองเพลงชาติเดิม
การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งบทเนื้อร้องเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก ในที่สุดคณะกรรมการได้คัดเลือกบทเนื้อร้องของหลวงสารานุประพันธ์
เสนอให้คณะรัฐมนตรีวินิจฉัย ที่ประชุมปรึกษาพิจารณาแล้วลงมติรับบทเพลงนั้น โดยแก้ไขไปบ้างตามความเหมาะสม
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒ รัฐบาลจึงได้ประกาศ “รัฐนิยมฉบับที่ ๖” ให้ใช้ทำนองเพลงชาติของพระเจนดุริยางค์
ตามแบบที่มีอยู่ในกรมศิลปกรส่วนเนื้อร้องเพลงชาติให้ใช้บทเพลงของหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งประพันธ์ขึ้นในนามของกองทัพบก
ดังที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่ในทุกวัน
เนื้อเพลง
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงค งไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย
ความหมายของเนื้อร้องเพลงชาติไทย (ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา อธิบาย)
ประเทศไทยเป็นถิ่นที่รวมชนผู้มีเลือดหเนื้อเชื้อชาติไทยไว้ให้ได้อยู่อาศัยร่วมกัน แผ่นดินทุกส่วนของประเทศไทย
ย่อมเป็นของชาวไทยทุกคน ประชาชนไทยรักษาแผ่นดินไทยทั้งหมดไว้ได้ ก็ด้วยทุกคนมีน้ำใจสามัคคี รักคนไทยด้วยกัน
และรักประเทศชาติ ชนไทยรักที่จะอยู่อย่างสุขสงบ แต่ถ้าจำเป็นต้องรบกับศัตครูแล้วคนไทยไม่เคยขลาดกลัวเลย
ไม่มีวันยอมให้ศัตรูหน้าไหนมาข่มขู่ทำลายความเป็นอิสระของชาติไทยได้ ทุกคนยอมสละเลือดทุกหยดเพื่อชาติไทยอยู่ยั่งยืน
จะปกป้องคุ้มครองประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป และให้มีแต่ชัยชนะตลอดไป.
ที่มาของทำนองเพลงชาติในปัจจุบัน ตามคำกล่าวของพระเจนดุริยางค์
พระเจนดุริยางค์ หรือ ปิติ วาทยะกร (ชื่อเดิม: ปีเตอร์ ไฟท์)
พระเจนดุริยางค์ได้กล่าวไว้ว่า ราวปลายปี 2474 หลวงนิเทศกลกิจ ซึ่งเป็นเพื่อนทหารเรือชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่าน ได้ขอให้ท่านแต่งเพลงสำหรับชาติขึ้นหนึ่งเพลง ในลักษณะเพลงลามาร์แซแยส ซึ่ง พระเจนดุริยางค์ ได้ปฏิเสธไป เพราะเห็นว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงชาติอยู่แล้ว และการแต่งเพลงนี้ก็ไม่ใช่คำสั่งของทางราชการด้วย ถึงแม้ว่าในภายหลัง หลวงนิเทศกลกิจ จะมาติดต่อให้เเต่งเพลงนี้อยู่อีกหลายครั้ง แต่พระเจนดุริยางค์ ก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด เพราะสงสัยว่าการให้แต่งเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง ประกอบกับในเวลานั้นมีข่าวลืออย่างหนาหูเกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติ
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพ.ศ. 2475
คณะราษฎรได้ประกาศให้ใช้เพลงชาติมหาชัย ประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือ สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นเพลงชาติใช้ชั่วคราวระหว่างรอพระเจนดุริยางค์แต่งเพลงชาติใหม่ เเต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากประชาชนเท่าไหร่นัก และต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการเเทนเพลงสรรเสริญพระบารมี
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปประมาณ 5 วันแล้ว พระเจนดุริยางค์ รู้ภายหลังว่า หลวงนิเทศกลกิจ เป็น 1 ในสมาชิกคณะราษฎร และหลวงนิเทศกลกิจ ได้กลับมาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของคณะผู้ก่อการ ท่านเห็นว่าคราวนี้หมดหนทางจะบ่ายเบี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนั้นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงขอเวลาในการแต่งเพลงนี้ 7 วัน และเเต่งสำเร็จในวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ท่านได้กำหนดนัดหมายไว้ ขณะที่ท่านนั่งอยู่บนรถรางสายบางขุนพรหม-ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบัติราชการที่สวนมิสกวัน ได้เรียบเรียงเสียงประสานสำหรับให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลงและมอบโน๊ตเพลงนี้ให้หลวงนิเทศกลกิจนำไปบรรเลง ในการบรรเลงดนตรีประจำสัปดาห์ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันพฤหัสบดีถัดมา พร้อมทั้งกำชับว่าให้ปิดบังชื่อผู้เเต่งเพลงนี้เอาไว้ด้วย ต่อมาหนังสือพิมพ์ศรีกรุงได้ลงข่าวเรื่องการประพันธ์เพลงชาติใหม่โดยเผยว่า พระเจนดุริยางค์เป็นผู้แต่งทำนองเพลงนี้ ทำให้พระเจนดุริยางค์ถูกเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวัง ตำหนิอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ แม้ภายหลังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี ได้ชี้เเจงว่าท่านและสมาชิกสภาผู้เเทนราษฎรเป็นผู้คิดการแต่งเพลงนี้ และเพลงนี้ก็ยังไม่ได้รับรองว่าเป็นเพลงชาติเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการทดลองก็ตาม แต่พระเจนดุริยางค์ก็ได้รับคำสั่งปลดจากทางราชการให้รับเบี้ยบำนาญ ฐานรับราชการครบ30ปี และหักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นเงินบำนาญ อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเป็นเงินเดือน โดยได้รับราชการต่อไปในอัตราเงินเดือนใหม่นี้ ในเดือนตุลาปีเดียวกันนั้นเอง
ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยคนแรกสุด คือ ขุนวิจิตรมาตรา
เนื้อร้องของเพลงชาตินั้น คณะผู้ก่อการได้ทาบทามให้ขุนวิจิตรมาตรา หรือ สง่า กาญจนาคพันธ์ เป็นผู้ประพันธ์โดยคำร้องที่แต่งขึ้นนั้นมีความยาว 2 บท สันนิษฐานว่าเสร็จอย่างช้าก่อนวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการค้นพบโน๊ตเพลงพร้อมด้วยเนื้อร้องซึ่งตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวันที่ตีพิมพ์ในวันดังกล่าว แม้เพลงนี้จะได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้มีการประกาศเป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการ และมีการจดจำต่อๆกันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาที่ชัดเจน และมีปรากฏว่า มีการคัดลอกเนื้อเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราส่งเข้าประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ ในปี พ.ศ. 2476 โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่ง เนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราประพันธ์เริ่มแรกสุดแต่ไม่เป็นทางการและเป็นฉบับต้องห้าม การจะมีการแก้ไขเมื่อมีการประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ ในพ.ศ. 2476 มีดังนี้ (โปรดเทียบกับเนื้อร้องฉบับราชการ พ.ศ. 2477 ในหัวข้อ เพลงชาติไทยฉบับ พ.ศ.2475 และ พ.ศ. 2477)
เพลงชาติสยาม พ.ศ. 2477
เพลงชาติสยาม พ.ศ. 2478
ในปีพ.ศ. 2478 รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ออกระเบียบการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 และ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ .2478 ระเบียบการดังกล่าวนี้ได้มีกำหนดให้แบ่งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติออกเป็น 2 แบบ คือ การบรรเลงแบบพิศดารหรือการบรรเลงตามความยาวปกติเต็มเพลง และการบรรเลงแบบสังเขป ในกรณีของเพลงชาตินั้นได้กำหนดให้บรรเลงเพลงฉบับสังเขปในพิธีที่เกี่ยวข้องกับประชาชน สันนิบาต สโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีปกติ ส่วนการบรรเลงแบบเต็มเพลงให้ใช้ในพิธีใหญ่เท่านั้น
เพลงชาติไทย พ.ศ. 2482
ในปีพ.ศ. 2482 ประเทศสยาม ได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย รัฐบาลจึงได้จัดการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อประเทศ โดยยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่ และกำหนดให้มีเนื้อร้องเพียง8วรรคเท่านั้น และต้องปรากฏคำว่า ไทย อยู่ในเนื้อเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องของเพลงชาติไทย และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 ได้มีการแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย แล้วใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา:http://sbtc.ac.th,ร้องเพลงชาติไทย.blogspot.com
อัพเดทครั้งสุดท้าย เมื่อ 23 เมษายน 2022