5 ขั้นตอน วิธีการ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ ไม่มีใครรู้?

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์หรือเจตคติทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 ขั้นตอน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มี กี่ ขั้น ตอน อะไรบ้าง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีกี่ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 ขั้นตอน pdf กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 14 ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 7 ขั้นตอน
Click to rate this post!
[Total: 51 Average: 5]

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ วิธีการและขั้นตอนที่ใช้ดำเนินการค้นคว้าหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
  1. วิธีการทางวิทยาศาสตร์
  2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
  3. จิตวิทยาศาสตร์

วิธีการทางวิทยาศาสตร์

วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ ใช้ในการแสวงหาความรู้ หรือหาความจริง หรือใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ดังนั้นการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือในทุก ๆ ศาสตร์ จะต้องอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อตอบคำถาม และเพื่อแก้ปัญหา แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้แต่ละคนมีขั้นตอนที่แตกต่างกันบางคนแบ่งเป็น 4 ขั้น บางคนแบ่งเป็น 5 ขั้น และบางคนแบ่งเป็น 6 ขั้น ซึ่งในการจัดขั้นต่าง ๆ ก็มีการสลับลำดับกันบ้าง เช่น

  • ขั้นที่ 1. การสังเกต รวมทั้งการบันทึกข้อมูล
  • ขั้นที่ 2. การตั้งสมมติฐาน
  • ขั้นที่ 3. การทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน
  • ขั้นที่ 4. การสรุปผล
อีกแบบหนึ่ง มีผู้แบ่งไว้ 5 ขั้น คือ
  • ขั้นที่ 1. ตั้งปัญหา
  • ขั้นที่ 2. เก็บรวบรวมข้อมูล หรือข้อเท็จจริง
  • ขั้นที่ 3. สร้างสมมติฐาน
  • ขั้นที่ 4. ทดลองพิสูจน์
  • ขั้นที่ 5. สรุปผล

อย่างไรก็ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ยังมีผู้แบ่งเป็น 6 ขั้น ก็มี แต่พบว่าประเด็นที่สำคัญจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก จะแตกต่างกันเฉพาะในรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น

กระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในโลกยุคใหม่ จะต้องสนับสนุนให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้ปฏิบัติจริง สัมผัสจริง มีกระบวนการสำรวจ ทดลอง ตรวจสอบด้วยเครื่องมือ แลกเปลี่ยนความเห็น ทำงานร่วมกัน มีความรับผิดชอบ กล้าคิด กล้าแสดงออก ใช้วิธีการและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ดังนั้น นักศึกษาจะเริ่มต้นด้วยการสังเกตข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติหรือในสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วใช้ความคิดเชิงตรรกที่เรียกว่าอุปนัย สรุปรวมเป็นสมมติฐานหรือทฤษฎี จากนั้นใช้ความคิดเชิงตรรกอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าการนิรนัย ไปทำนายหรือคาดคะเนเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้น

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความชำนาญและความสามารถในการใช้ การคิดและกระบวนการคิดเพื่อค้นหาความรู้ รวมทั้งการแก้ปัญหาต่าง ๆ กระบวนการคิดและเรียนรู้รวมทั้งการจินตนาการเป็นผลของการคิดเฉพาะด้านและร่วมกันของสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา สมองซีกซ้ายเจริญรวดเร็วในช่วงตั้งแต่ปฏิสนธิ ถึงอายุ 2 ปี และช่วงอายุ 7 – 12 ปี สมองส่วนนี้คิดเชิงวิเคราะห์ สร้างมโนทัศน์และภาษา ส่วนสมองซีกขวาเจริญในอัตราสูงและเด่นชัดในช่วงอายุ 3 – 6 ปี ทำหน้าที่คิดเชิงจินตนาการ สร้างสรรค์ สังเคราะห์และความคิดเชิงเทียบเคียง การส่งเสริมกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ต้องกระตุ้นการรับรู้โดยผ่านระบบประสาทสัมผัสทุกระบบ กระตุ้นการคิดของสมองทั้งการคิดพื้นฐานทุกกระบวนการคิด จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ความจำและภาษา หรือความคิดเชิงพหุปัญญาของสมองทั้งรายคนและแบบกลุ่ม จัดกิจกรรมที่ยั่วยุ ท้าทายการคิดค้น ของระบบประสาทและสมอง ครูต้องเตรียมกิจกรรมการสอนอย่างหลากหลาย เพื่อกระตุ้น ยั่วยุ ท้าทายให้สมองคิด เตรียมสื่ออุปกรณ์ให้เพียงพอ เรียนร่วมกับเด็ก เพื่อศึกษาแบบการเรียนรู้ของเด็ก ครูคิดหาเทคนิคการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบใหม่ ๆ เสมอ

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นหัวใจที่สำคัญของกระบวนการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งแบ่งออกเป็น 13 ทักษะด้วยกัน คือ

สมาคมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ( American Association for the Advancement of Science-AAAS) ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ทั้งสิ้น 13 ทักษะ โดยจัดแบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ

  1. ทักษะพื้นฐาน หรือทักษะเบื้องต้น ( Basic Science Process Skill) ประกอบด้วย 8 ทักษะ ได้แก่ ทักษะที่ 1-8
  2. ทักษะขั้นบูรณาการ หรือ ทักษะขั้นสูง ( Intergrated Science Process Skill) ประกอบด้วย 5 ทักษะ ได้แก่ ทักษะที่ 9-13

ความหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละทักษะ

วรรณทิพา (2540) สรุปได้ดังนี้

1.ทักษะการสังเกต ( Observation) หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่างๆ โดยไม่ลงความเห็นของผู้สังเกต
การสังเกต เป็นวิธีการพื้นฐานที่จะได้ข้อมูลมาตามความต้องการ ซึ่งการที่จะได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้นั้น ผู้สังเกตต้องมีลักษณะดังนี้
•ความตั้งใจของผู้สังเกต (Attention)
•ประสาทสัมผัส (Sensation)
•การรับรู้ (Perception)

หลักการสังเกต ผู้สังเกตที่ดี คือ ผู้ที่ทำการสังเกตแล้วได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งผู้สังเกตจะเป็นผู้สังเกตที่ดีได้นั้นต้องมีหลักในการสังเกต ดังนี้

  • กำหนดการสังเกตให้จำกัดเฉพาะเป็นเรื่องๆ ไป ไม่ใช่เห็นสิ่งใด มากระทบแล้วรับไว้หมด
  • สังเกตอย่างมีความมุ่งหมาย มิใช่ว่าสังเกตไปเรื่อยๆ คือ ต้องมีจุดมุ่งหมายที่จะดู เมื่อพบเห็นแล้วแปลความหมายออกมาว่าคืออะไร
  • สังเกตด้วยความพินิจพิเคราะห์จนสามารถมองเห็นรายละเอียดของเรื่องนั้นได้อย่างลึกซึ้ง มิใช่ว่ามองเห็นแต่ผิว หรือลักษณะของภายนอกเท่านั้น
  • เมื่อสังเกตแล้วต้องมีการบันทึกไว้เพื่อเตือนความจำ จะได้ไม่หลงลืมรายละเอียดที่ได้สังเกตมา
  • ผู้สังเกตควรใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือ เครื่องมือวัดอื่นๆ ประกอบในการสังเกตนี้ด้วย

ประเภทของการสังเกต

การรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
  1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) หมายถึง การสังเกต ที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในกลุ่มที่ตนศึกษา และมีการทำกิจกรรมร่วมกัน
  2. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตกระทำตนเป็นบุคคลภายนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่กลุ่มกำลังทำกันอยู่ การไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในความหมายนี้ หมายถึง ไม่เข้าไปร่วมในกิจกรรมของกลุ่มนั้นเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการไม่เข้าไปอยู่ในบริเวณสถานที่ด้วย มักใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการให้ผู้ถูกสังเกตรู้สึก รบกวนจากตัวผู้สังเกต ผู้สังเกตเป็นเพียง ผู้สังเกตการณ์เท่านั้น

2.ทักษะการวัด ( Measurement) หมายถึงความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดหาปริมาณของสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสม และความสามารถในการอ่านค่าที่ได้จากการวัดได้ถูกต้องรวดเร็วและใกล้เคียงกับความจริงพร้อมทั้งมีหน่วยกำกับเสมอ

3.ทักษะการคำนวณ ( Using numbers) หมายถึง ความสามารถในการบวก ลบ คูณ หาร หรือจัดกระทำกับตัวเลขที่แสดงค่าปริมาณของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งได้จากการสังเกต การวัด การทดลองโดยตรง หรือจากแหล่งอื่น ตัวเลขที่คำนวณนั้นต้องแสดงค่าปริมาณในหน่วยเดียวกัน ตัวเลขใหม่ที่ได้จากการคำนวณจะช่วยให้สื่อความหมายได้ตรงตามที่ต้องการและชัดเจนยิ่งขึ้น

4.ทักษะการจำแนกประเภท ( Classification) หมายถึง ความสามารถในการจัดจำแนกหรือเรียงลำดับวัตถุ หรือสิ่งที่อยู่ในปรากฏการณ์ต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่โดยมีเกณฑ์ในการจัดจำแนก เกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ โดยจัดสิ่งที่มีสมบัติบางประการร่วมกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน

5.ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา ( Space/space Relationship and Space/Time Relationship) สเปส ( Space) ของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างบริเวณที่วัตถุนั้นครอบครองอยู่ ซึ่งจะมีรูปร่างและลักษณะเช่นเดียวกับวัตถุนั้น โดยทั่วไป สเปสของัตถุจะมี 3 มิติ (Dimensions) ได้แก่ ความกว้าง ความยาว ความสูงหรือความหนาของวัตถุทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา หมายถึง

ความสามารถในการระบุความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่อไปนี้ คือ
  1. ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มิติ กับ 3 มิติ
  2. สิ่งที่อยู่หน้ากระจกเงากับภาพที่ปรากฏจะเป็นซ้ายขวาของกันและกันอย่างไร
  3. ตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง
  4. การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับเวลาหรือสเปสของวัตถุ ที่เปลี่ยนแปลงไปกับเวลา

6.ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล ( Organizing data and communication) หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอื่นมาจัดกระทำใหม่โดยวิธีการต่างๆ เช่น การจัดเรียงลำดับ การแยกประเภท หรือคำนวณหาค่าใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจมากขึ้น อาจนำเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ กราฟ สมการ เป็นต้น

7.ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ( Inferring) หมายถึง ความสามารถในการอธิบายข้อมูลที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ข้อมูลที่มีอยู่อาจได้มาจากการสังเกต การวัด การทดลอง คำอธิบายนั้นได้ มาจาก ความรู้หรือประสบการณ์เดิมของ ผู้สังเกตที่พยายามโยงบางส่วนที่เป็นความรู้หรือประสบการณ์เดิม ให้มาสัมพันธ์กับข้อมูลที่ตนเองมีอยู่

8.ทักษะการพยากรณ์ ( Prediction) หมายถึง ความสามารถในการทำนายหรือคาดคะเนสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า โดยอาศัยการสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือความรู้ที่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎีในเรื่องนั้นมาช่วยในการทำนาย การทำนายอาจทำได้ภายในขอบเขตข้อมูล และภายนอกขอบเขตข้อมูล

9.ทักษะการตั้งสมมติฐาน ( Formulating hypothesis) หมายถึง ความสามารถในการให้คำอธิบายซึ่งเป็นคำตอบล่วงหน้าอย่างมีเหตุมีผล ก่อนที่จะดำเนินการทดลอง เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเป็นจริงในเรื่องนั้นๆ ต่อไป สมมติฐานเป็นข้อความที่แสดงการคาดคะเน ซึ่งอาจเป็นคำอธิบายของสิ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบโดยการสังเกตได้ หรืออาจเป็นข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ที่คาดคะเนว่าจะเกิดขึ้นระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ข้อความของสมมติฐานนี้สร้างขึ้นโดยอาศัยการสังเกตความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน การคาดคะเนคำตอบที่คิดล่วงหน้านี้ยังไม่ทราบ หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎีมาก่อน ข้อความของสมมติฐานต้องสามารถทำการตรวจสอบโดยการทดลองและแก้ไขเมื่อมีความรู้ใหม่ได้

10.ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ ( Defining operationally) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดความหมายและขอบเขตของคำ หรือตัวแปรต่างๆ ให้เข้าใจตรงกัน และสามารถสังเกตและวัดได้ คำนิยามเชิงปฏิบัติการ เป็นความหมายของคำศัพท์เฉพาะ เป็นภาษาง่ายๆ ชัดเจน ไม่กำกวม ระบุสิ่งที่สังเกตได้ และระบุการกระทำซึ่งอาจเป็น การวัด การทดสอบ การทดลองไว้ด้วย

11.ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร (Identifying and controlling variables) หมายถึง การชี้บ่งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมในสมมติฐานหนึ่ง การควบคุมตัวแปรนั้นเป็นการควบคุมสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อนถ้าหากว่าไม่ควบคุมให้เหมือนกัน

12.ทักษะการทดลอง ( Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบหรือทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ ในการทดลองจะประกอบด้วยกิจกรรม 3 ขั้นตอน คือ
  • การออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดลองจริง เพื่อกำหนดวิธีการดำเนินการทดลองซึ่งเกี่ยวกับการกำหนดวิธีดำเนินการทดลองซึ่งเกี่ยวกับการกำหนดและควบคุมตัวแปร และวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ในการทดลอง
  • การปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติการทดลองจริงๆ
  • การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลอง ซึ่งอาจเป็นผลของการสังเกต การวัด และอื่นๆ

13.ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ( Interpretting data and conclusion) หมายถึง ความสามารถในการบอกความหมายของข้อมูลที่ได้จัดกระทำ และอยู่ในรูปแบบที่ใช้ในการสื่อความหมายแล้ว ซึ่งอาจอยู่ในรูปตาราง กราฟ แผนภูมิหรือรูปภาพต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการบอกความหมายข้อมูลในเชิงสถิติด้วย และสามารถลงข้อสรุปโดยการเอาความหมายของข้อมูลที่ได้ทั้งหมด สรุปให้เห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ต้องการศึกษาภายในขอบเขตของการทดลองนั้นๆ

จิตวิทยาศาสตร์หรือเจตคติทางวิทยาศาสตร์

หมายถึง คุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เจตคติทางวิทยาศาสตร์

เจตคติทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งมั่น ความขยัน อดทน รอบคอบ มีวินัย ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์สุจริต ประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุผล การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์

การทำงานของนักวิทยาศาสตร์ทุกคนจะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องเริ่มต้นด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ชอบสงสัย ชอบตั้งคำถาม มีความกระตือรือร้น มีความรับผิดชอบ และมีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม รอบรู้ ไฝ่รู้ไฝ่เรียน ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ลำเอียง

คำค้น : คืออะไร คือ 5 ขั้นตอน มีกี่ขั้นตอน หมายถึง มีอะไรบ้าง ขั้นตอนใดที่จะนำไปสู่การสรุปผลและการศึกษาต่อไป ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ หมายถึง ขั้นตอนใดนำไปสู่การสรุปผลและการศึกษาต่อ ขั้นตอนใดที่จะนําไปสู่การสรุปผลและการศึกษาต่อไป ข้อใดไม่ใช่ ประกอบด้วยขั้นตอนเรียงตามลำดับอย่างไร แบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ มีกี่ขั้นตอน คืออะไรประกอบด้วยอะไรบ้าง มีกี่ทักษะ หมายถึงอะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อการสร้างเทคโนโลยี มีทั้งหมดกี่ขั้นตอน มีกี่ขั้นตอนอะไรบ้าง 5 ขั้นตอน ppt มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน มีอะไรบ้าง ทักษะ ม. 2 ข้อใดเป็นการใช้ ประกอบด้วยอะไรบ้าง และวิศวกรรมศาสตร์แตกต่างกันอย่างไร ตัวอย่าง ป.3 มีความสําคัญอย่างไรต่อการสร้างเทคโนโลยี ข้อใดที่ใช้ตรวจสอบสมมติฐาน มี กี่ ขั้น ตอน อะไรบ้าง 6 ขั้นตอน 13ทักษะ 13ทักษะมีอะไรบ้าง ข้อใดเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญซึ่งจะนำไปสู่ 13 ทักษะ ประกอบด้วย หมายถึงข้อใด แบบฝึกหัด หน่วยที่ 1 ป. 5 คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง มีอะไรบ้าง ขั้นพื้นฐาน ที่ เซอร์ไอแซก นิวตัน ใช้ ได้แก่ ใช้ประโยชน์ได้เมื่อใด

ที่มา:sites.google.com/site/raynichakan/home

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com

Gantt Chart

Gantt Chart #7 ข้อ ดีเสีย ตัวอย่าง วิธีทำ ง่ายๆ คือโครงการ?

gantt chart วิธีทํา Gantt Chart ตัวอย่าง gantt chart excel วิธีทํา การเขียน gantt chart โครงการ gantt chart ตัวอย่างโครงการ gantt chart คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร gantt chart ข้อดี ข้อเสีย Gantt chart
ยำขนมจีน

13 ยำขนมจีน สไตล์แซ่บ แคลต่ำ สูตรคีโต ที่ไม่มีใครรู้?

ยำขนมจีน สไตล์ที่หนึ่ง..วิธีทำยำขนมจีนปลาทูทอด วัตถุดิบที่ต้องเตรียมทำยำขนมจีน ขั้นตอนการทำยำขนมจีน สไตล์ที่สอง..วิธีทำยำขนมจีนคีโต (เส้นบุก) ขั้นตอนการทำยำขนมจีนคีโต (เส้นบุก) สิ่งที่ควรระมักระวังที่สุดในการทำอาหาร..สูตรยำขนมจีน
ปก suffix-noun

10 Suffix Noun คำศัพท์ แปลว่า ทั้งหมด เน้น จำง่าย!

Noun suffix คือ Noun suffix คําศัพท์ Noun suffix examples ตัวอย่าง Adjective suffix Verb suffix Adverb suffix Noun suffix คําศัพท์ และวิธีการใช้ suffix ที่เป็น noun

6 การแข่งขันในเกมเต้น มีลักษณะอย่างไร และเป็นอย่างไร?

เกมเบ็ดเตล็ด มีอะไรบ้าง เกมเล่นเป็นนิยาย และสร้างสรรค์ มีอะไรบ้าง เกมและเกมนํา หมายถึง การแบ่งลักษณะเกมตามสถานที่ มีอะไรบ้าง กีฬาเบ็ดเตล็ด มีอะไรบ้าง เกมนําไปสู่กีฬา มีอะไรบ้าง เกมเบ็ดเตล็ด พลศึกษามีอะไรบ้าง ประเภทของเกมเบ็ดเตล็ด ออนไลน์
อาชีพต่างๆ

อาชีพมีอะไรบ้าง •50• ต่างๆ ทั้งหมด ที่ทำกันแล้วไม่ยอมพูดต่อ?

อาชีพสุจริต 100 อาชีพ อาชีพต่างๆในปัจจุบัน อาชีพต่างๆที่น่าสนใจ 100 อาชีพมีอะไรบ้าง อาชีพต่างๆของคนไทย อาชีพทั้งหมดในโลก อาชีพสุจริต 50 อาชีพ อาชีพ20อาชีพ
ชาดก

6 ชาดก สุภาษิต นิทาน เรื่องของพระพุทธเจ้า ที่ไม่มีใครพูด?

นิทานชาดก ชาดก มีอะไรบ้าง ชาดกมีกี่เรื่อง นิทานชาดก 10 ชาติ ชาดกคืออะไร ชาดกของพระพุทธเจ้า นิทานชาดก 10 เรื่อง ชาดก ข้อคิด สรุปชาดก
เงินทดลองจ่าย

7 เงินทดรองจ่าย สำรองจ่าย ตัวอย่าง วิธีเขียน อย่างง่ายเลย!

เงินทดรองจ่าย หมายถึง การบริหารเงินยืมทดรองจ่าย ประกอบด้วยการ เอกสารประกอบการยืมเงินทดรอง จ่าย /หลักฐานที่ใช้ประกอบการยืมเงินทดรอง ระยะเวลาการคืนเงินยืมทดรองและการดําเนินการ กรณีไม่คืนเงินตามกำหนด
บทบาทคอมพิวเตอร์

5 บทบาทคอมพิวเตอร์ ในชีวิต ธุรกิจ สื่อสาร ที่ไม่รู้มาก่อน!

บทบาทของคอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ บทบาทของคอมพิวเตอร์ในชีวิต ประ จํา วัน บทบาทคอมพิวเตอร์ด้านการศึกษา ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ด้านธุรกิจ บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ บทบาทของคอมพิวเตอร์ในด้านราชการ บทบาทของคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจําวัน 5 ข้อ คอมพิวเตอร์มีบทบาทด้านความบันเทิง

Leave a Comment

Scroll to Top